Pages

Friday 21 January 2011

ไม่มีการบังคับเพื่อให้นับถืออิสลาม

สามัญสำนึกอันดั้งเดิมของมนุษย์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือ ความต้องการศาสนาเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ ผู้ที่ศึกษาอารยธรรมของมนุษย์จะพบว่า มนุษย์ในบางสังคมหรือบางช่วงเวลาไม่มีโรงงาน สถาบันการศึกษา โรงพยาบาลหรือแม้แต่บ้านเพื่อเป็นแหล่งพักพิง แต่ไม่เคยปรากฏในสังคมใช้ชีวิตโดยปราศจากหอสวด ศาลเจ้า สถานศักดิ์สิทธิ์หรือสัญลักษณ์ของความเชื่อที่มีการเรียกขานด้วยชื่อต่างๆ ตามความศรัทธาของแต่ละสังคม จึงสรุปได้ว่า มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตได้หากปราศจากศาสนาและการศรัทธาในพระเจ้า ผู้ที่ปฏิเสธแนวคิดความเชื่อในพระเจ้า แท้จริงแล้วบุคคลผู้นั้นกำลังสร้างศาสนาใหม่และสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าแทน

อัลลอฮ์ ได้ทรงส่งนะบีมุฮัมมัด เพื่อธำรงไว้ซึ่งความกรุณาปรานีแก่มนุษย์

ดังที่อัลลอฮ์ ได้ตรัสความว่า

“และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่สากลจักรวาล” (21:107)

และเพื่อยืนยันในสัจธรรมดังกล่าว นะบีมุฮัมมัด ได้กล่าวแก่ตนเองความว่า

"แท้จริง ฉันคือความเมตตาที่เป็นของขวัญจากพระเจ้าที่มอบให้กับสรรพสิ่งทั้งหลาย" (รายงานโดยดาริมีย์)

ส่วนหนึ่งของความกรุณาปรานีของอัลลอฮ์ คือ การให้โอกาสมนุษย์มีสิทธิเลือกและกำหนดวิถีชีวิตตามความประสงค์ของตนเอง โดยสภาวะดั้งเดิมมนุษย์ คือ สิ่งมีชีวิตที่ประเสริฐสุดและมีเกียรติยิ่ง แม้นว่าจะแตกต่างด้านสีผิว ชาติพันธุ์ ภาษาและฐานะทางสังคม

อัลลอฮ์ ได้ตรัสความว่า

“และโดยแน่นอน เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานของอาดัม และเราได้บรรทุกพวกเขาทั้งทางบกและทางทะเล และได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีทั้งหลายแก่พวกเขา และเราได้ให้พวกเขาดีเด่นอย่างมีเกียรติเหนือกว่าผู้ที่เราได้ให้บังเกิดมาเป็นส่วนใหญ่” (อัลกุรอาน 17:70)

มนุษย์เป็นมัคลูก (สิ่งถูกสร้าง) ที่มีสติปัญญา มีเป้าหมายแห่งชีวิต เป็นมัคลูกที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ถูกกำหนดไว้ มนุษย์มีสถานะและบทบาทอันทรงเกียรติ เขาจะถูกสอบสวนในการปฏิบัติหน้าที่ในวันอาคิเราะฮ์ (โลกหน้า) มนุษย์มีสิทธิ์เลือกที่จะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์มีความพร้อมที่จะกระทำสิ่งดีและไม่ดี มนุษย์จึงไม่ใช่มลาอิกะฮ์ (เหล่าเทวทูต) ที่อัลลอฮ์ ทรงสร้างขึ้นเพื่อให้กระทำความดี เนื่องจากมลาอิกะฮ์เป็นมัคลูกที่ไม่มีอารมณ์และปราศจากความต้องการ แต่ในขณะเดียวกัน มนุษย์มิใช่ชัยฏอน (เหล่ามารร้าย) ที่หมกมุ่นและจมปลักในการปฏิบัติแต่เพียงความชั่วร้ายและสิ่งอบายมุขทั้งมวล



อัลลอฮ์ ได้ทำให้มนุษย์รู้จักกำหนดวิถีชีวิตโดยอาศัยการเรียนรู้และการพัฒนา อัลลอฮ์ ทรงแนะนำและส่งเสริมให้มนุษย์ทำคุณงามความดี พระองค์ทรงตักเตือนและห้ามปรามมิให้จมปลักในความชั่วร้าย

อัลลอฮ์ ได้ตรัสไว้ความว่า

“และเราได้ชี้แนะทางแห่งความดี และความชั่วแก่เขาแล้ว” (อัลกุรอาน 90:10)

อัลลอฮ์ จึงให้มนุษย์มีความรับผิดชอบต่อผลของการเลือกของเขา ทั้งนี้เพราะความรับผิดชอบเป็นส่วนหนึ่งของเสรีภาพ หากปราศจากเสรีภาพ ความรับผิดชอบก็ไร้ความหมาย ด้วยเหตุที่มนุษย์มีอิสรภาพ รู้จักแสวงหาและสะสมความรู้และประสบการณ์ มีศักยภาพในการตัดสินใจว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด ตลอดจนมีโอกาสในการแก้ตัว ปรับปรุงและขอลุแก่โทษในความผิดพลาดทั้งปวง มนุษย์จึงมีฐานะที่สูงส่งกว่าสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และนี่คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้บรรดาเทวทูต (มลาอิกะฮ์) ยอมก้มคารวะ (สุญูด) เพื่อแสดงความเคารพต่อนะบีอาดัม ดังปรากฏในประวัติศาสตร์ที่บันทึกโดยอัลกุรอาน

มุสลิมทุกคนมีหน้าที่สืบทอดภารกิจของเหล่าศาสนทูตด้วยการให้เกียรติแก่มนุษย์ โดยให้มนุษย์มีอิสระเสรี และศักดิ์ศรีอันเหมาะสมกับสถานะและบทบาทอันแท้จริง มุสลิมทุกคนต้องใช้ความพยายามในการชี้แจงความถูกต้องและสัจธรรม ตักเตือนมิให้ทำสิ่งชั่วร้าย แต่ทั้งนี้มุสลิมพึงสำนึกว่า มนุษย์มีสิทธิ์ในการเลือกทางเดินชีวิตของตน การกดขี่บังคับ ถือเป็นการลดศักดิ์ศรีและไม่ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อิสลามจึงกำหนดให้มุสลิมประกาศญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดกั้นการแพร่ขยายของการกดขี่บังคับมิให้ปฏิบัติตามศาสนา(ฟิตนะฮ์)

ดังที่อัลลอฮ์ ได้ตรัสความว่า

“และจงสู้รบกับพวกเขา จนกว่าฟิตนะฮ์จะไม่ปรากฏขึ้น” (อัลกุรอาน 2:193)

ฟิตนะฮ์ ตามความหมายคือ การบังคับมิให้มนุษย์มีสิทธิปฏิบัติหรือเชื่อศรัทธาในสิ่งที่เป็นความต้องการของเขา และการปิดโอกาสมิให้มีสิทธิเลือกกระทำตามที่ต้องการ อิสลามถือว่า การกระทำฟิตนะฮ์ มีผลกระทบที่ร้ายแรงยิ่งกว่าการฆาตรกรรม เพราะฆาตรกรรมเป็นการปลิดชีวิตที่เป็นกายภาพ แต่การกระทำฟิตนะฮ์ถือเป็นอาชญากรรมด้านความรู้สึกและจิตใจ

อัลลอฮ์ ได้ตรัสความว่า

“และการฟิตนะฮ์นั้นใหญ่โตยิ่งกว่าการฆ่า” (อัลกุรอาน 2:217)



الكاتب : مرسلان محمد

โดย อ.มัสลัน มาหะมะ

Ref : http://www.islammore.com/main/content.ph

5 comments:

  1. ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ

    ReplyDelete
  2. ไม่มีการบังคับ...

    แต่พระเจ้าได้ให้สติปัญญามา คงคิดเองได้ ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่เที่ยงตรง

    ReplyDelete
  3. พระเจ้าส่งทางนำมา และแบบอย่างมาไห้แก่มนุษยชาติแล้ว ทางนำแก่มนุษย์ นั้นก้อคือ อัลกรุอ่าน แบบอบ่างนั้นคือแบบอย่างท่านศาสดามูฮัมหมัด จงไคร่ควร

    ReplyDelete
  4. หน้าที่ของอุมมะอิสลามต้องดะวะ ไห้มนุษยชาติได้รับรู้สัจธรรม นี่คืออามานะหลักหลังจากที่ท่านศาสดาได้จากโลกนี้ไป จงไคร่ครวญ

    ReplyDelete